วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

เงินตรา



ปัญหาสำหรับทุก ๆ คน
เราเชื่อว่า
แต่ละคนมีปัญหาแตกต่างกัน
แต่คงไม่มีใคร "ไม่มีปัญหา"
เพียงแต่เราต้องมองให้เห็นปัญหาจริง ๆ
ซึ่งการมองให้เห็นปัญหานี้
แม้แต่เราเอง
ซึ่งพยายามทำใจให้เย็น ๆ และมองนิ่ง ๆ นาน ๆ
เรายังไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เลย

เราจะสามารถหยุดดิ้นรนได้อย่างไร
ในเมื่อวันนี้
ทุกคน ทุกชีวิตบนโลกใบนี้
ล้วนมีสิ่งเดียวที่ต้องการเหมือนกัน คือ "เงินตรา"

เงินไม่ใช่พระเจ้า
เงินไม่สามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้
แต่เงินสามารถอำนวยความสะดวกให้เราไปถึงที่หมายได้ง่ายมากขึ้น

เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรามีเงินเพียงพอแล้ว
เพียงพอต่อความต้องการขั้นพื้นฐาน
แล้ววันนั้นเราสามารถหยุดได้หรือไม่

คนที่ยังไม่มีก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป
แล้วคนที่มีเพียงพอแล้วล่ะ
คุณสามารถปลดปล่อยตนเองจากสิ่งที่พันธนาการคุณไว้ได้หรือไม่
คำถามง่าย ๆ
ที่บางคนไม่สามารถหาคำตอบได้
และเราก็เป็นหนึ่งในนั้น

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

รินหัวใจใส่งาน



ท่าน ว.วชิรเมธีได้เดินทางไปเมืองจีน ไปเห็นกำแพงเมืองที่มีอายุยืนยาวถึงสองสามพันปี
ท่านได้ถามมัคคุเทศก์ว่า "ทำไมมันทนจัง"
มัคคุเทศก์บอกว่า "จิ๋นซีฮ่องเต้ โปรดให้ปั้นอิฐแต่ละก้อนด้วยวิธีพิเศษ แล้วทุกคนที่ปั้นอิฐจะต้องจารึกชื่อตัวเองไว้ที่ก้อนอิฐ เมื่อเผาเสร็จแล้วจึงเอาไปก่อกำแพง ฝนตกแดดส่อง ถ้าอิฐของใครสึกหรอก เอาคนปั้นที่มีชื่อเขียนติดไว้ไปตัดหัว แล้วเอาศพฝังใต้ซากกำแพงเมือง"

ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนจึงตั้งใจบรรจงปั้นอิฐอย่างสุดความสามารถ เพราะกลัวตายจึงตั้งใจปั้นจริง ๆ อิฐทุกก้อนจึงอยู่คงทนยาวนานมาถึงทุกวันนี้ ถ้าเราทำได้เหมือนคนปั้นอิฐของจิ๋นซีฮ่องเต้ งานของเราจะเป็นงานที่ดีที่สุด

ลูกค้าที่มาเจอหน่วยงานเราจะประทับใจกลับไป อย่าทำงานเหมือนลวกก๋วยเตี๋ยว ลวก ๆ สุกบ้างไม่สุกบ้าง
ทำงานต้องทำให้ดี ต้องประณีต
ประณีตหมายถึงรินใจใส่งาน
ถ้ารินใจใส่งานจะได้งานชิ้นเอกทุกเรื่องทุกครั้งไป

งานที่สำคัญที่สุด คือ งานที่เราทำอยู่ตอนนี้ ทำให้ดีที่สุด
ถ้าเราทำให้ดีที่สุด ตอนนี้
มันจะกลายเป็นพรุ่งนี้ที่ดีที่สุด
เมื่อมันเป็นวันวายมันก็เป็นวันวายที่ดีที่สุด
แล้วเราจะมีความสุขกับมัน ถ้าเราทำอย่างดีที่สุด


ที่มา ::
งานสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์
ท่าน ว.วชิรเมธี

งานที่สำคัญที่สุด


งานที่สำคัญที่สุด คือ งานที่เราทำอยู่ในขณะนี้

เราทำงานอะไร จงใส่จิตใส่ใจกับมันให้เต็มร้อย
อย่าสักแต่ว่าทำ
เพราะว่าถ้าสักแต่ว่าทำงานก็ไม่ดีความสามารถเราก็ไม่พัฒนา
ทำอะไรก็พยายามทำให้ดีที่สุด
พระพุทธเจ้าเวลาทำงาน
ทรงรับสั่งว่า "ฉันทำงานเหมือนราชสีห์"
ราชสีห์เวลาจับหนู โดดตะครุบด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดด้วยศักยภาพทั้งหมด

เราทุกคนก็เช่นกัน
เวลาทำงาน งานของเราต้องสำคัญที่สุด
ไม่ทำสักแต่ว่าทำ แต่จะต้องทำให้ดีที่สุด
เพราะถ้าเราทำให้ดีที่สุด
ผลงานของมันจะประกาศศักยภาพของเราไปตลอดชีวิต


ที่มา ::
งานสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์
ท่าน ว.วชิรเมธี

คนที่สำคัญที่สุด



คนที่สำคัญที่สุด คือ "คนที่อยู่ตรงหน้า"

ทำไมคนที่อยู่ข้างหน้าเราจึงสำคัญ ก็เพราะว่ามนุษย์พบเจอกันไม่บ่อยนัก
ในชีวิตนี้มนุษย์ที่มาปฏิสัมพันธ์กันเหมือนไม้สองท่อน
ที่ลอยมาคนละทิศคนละทางมาเจอกันกลางทะเล
ทะเลกว้างแสนกว้างแต่ไม้สองท่อนยังคงไหลมาเจอกันได้
เมื่อไหลมาเจอกันโครม
แล้วในที่สุดก็จะไหลจากกันไป
คงไม่มีไม้ท่อนไหนที่ไหลมาชนกันโครม แล้วอยู่ติดกันตลอดไป

ชีวิตเราไหลมาเจอพ่อเจอแม่ อยู่ด้วยกันไม่กี่ปีพ่อแม่ตายจาก
ไหลมาเจอสามีหรือภรรยาในดวงใจ อยู่กันไปไม่กี่ปีบางทีไม่ตายจาก แต่เขาก็จากไปเอง
เพราะฉะนั้น วิถีชีวิตของมนุษย์เราจะเจอกันแค่ชั่วคราวเท่านั้น
ถึงเราจะรักกันแค่ไหนจะดีต่อกันแค่ไหนก็ตาม ก็ชั่วคราวเท่านั้น

เพราะฉะนั้นเรามาเจอกันแค่ชั่วคราว ควรจะดูแลโมงยามที่แสนสั้นนี้ให้ดีที่สุด ให้เป็นชั่วคราวที่งดงามที่สุด

ที่มา ::
งามสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์
ท่าน ว.วชิรเมธี

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระคาถาอาการะวัตตาสูตร

อานิสงส์พระอาการะวัตตาสูตร
.......... ชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้เจริญพระอาการะวัตตาสูตรนี้ แม้เพียงครั้งหนึ่งจะคุ้มครองภัยอันตราย ๓๐ ประการ ได้ถึง ๔ เดือน ยกเว้นแต่ภัยอันตรายที่บังเกิดขึ้นแล้วแต่ผลวิบากแห่งอกุศลกรรมเท่านั้น ถ้าผู้ใดเจริญ พระสูตรนี้เป็นนิจ บาปกรรมทั้งปวงก็จะไม่ได้ช่องหยั่งลงไปในสันดาน เว้นแต่กรรมเก่าตามมาทันเท่านั้น ผู้ใด อุตสาหะตั้งจิตใจเล่าเรียน ได้ใช้สวดมนต์ก็ดี บอกเล่าผู้อื่นให้เลื่อมใสก็ดี เขียนเองก็ดี กระทำสักการะบูชา เคารพนับถือพร้อมกาย วาจา ใจก็ดี ผู้นั้นจะปราถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จผลทุกประการ แม้จะปราถนา พระพุทธภูมิ พระปัจเจกภูมิ พระอัครสาวกภูมิหรือ จะปราถนามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ก็ส่งผลให้ได้สำเร็จสมความปราถนาทั้งนั้น

ก่อนสวดพระอาการะวัตตาสูตร
ตั้งนะโมฯ ๓ จบ
แล้วบูชาด้วย

" เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา ราชะคะเห วิหะระติ คิชฌะกูเฏ ปัพพะเต เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ สัพพะสัตตานัง พุทธะคุโณ ธัมมะคุโณ สังฆะคุโณ อายัสมา อานันโท อนุรุทโธ สารีปุตโต โมคคัลลาโน มะหิทธิโก มะหานุภาเวนะ สัตตานัง เอตะทะโวจะ "

พระคาถาอาการะวัตตาสูตร
1. อิติปิโสภะคะวา อะระหัง
อิติปิโสภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ
อิติปิโสภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สุคะโต
อิติปิโสภะคะวา โลกะวิทู
อิติปิโสภะคะวา อะนุตตะโรปุริสะธัมมะสาระถิ
อิติปิโสภะคะวา สัตถาเทวะมะนุสสานัง
อิติปิโสภะคะวา พุทโธ
อิติปิโสภะคะวา ภะคะวาติ
(พุทธะคุณะวัคโค ปะฐะโม)

2. อิติปิโสภะคะวา อะภินิหาระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อุฬารัชฌาสะยะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปะนิธานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา มะหากะรุณา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปะโยคะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ยุติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ชุติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา คัพภะโอกกันติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา คัพภะฐิติ ปาระมิสัมปันโน
(อะภินิหาระวัคโค ทุติโย)

3.อิติปิโสภะคะวา คัพภะวุฏฐานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา คัพภะมะละวิระหิตะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อุตตะมะชาติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา คะติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อะภิรูปะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สุวัณณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา มะหาสิริ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อาโรหะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปะรินาหะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สุนิฏฐะ ปาระมิสัมปันโน
(คัพภะวุฏฐานะวัคโค ตะติโย)

4. อิติปิโสภะคะวา อะภิสัมโพธิ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สีละขันธะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สะมาธิขันธะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปัญญาขันธะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ทะวัตติงสะมะหาปุริสะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
(อะภิสัมโพธิวัคโค จะตุฏโฐ)

5. อิติปิโสภะคะวา มะหาปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปุถุปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา หาสะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ชะวะนะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ติกขะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปัญจะจักขุ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อัฏฐาระสะพุทธะกะระ ปาระมิสัมปันโน
(มะหาปัญญาวัคโค ปัญจะโม)

6. อิติปิโสภะคะวา ทานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สีละ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา เนกขัมมะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา วิริยะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ขันตี ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สัจจะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อะธิษฐานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา เมตตา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อุเปกขา ปาระมิสัมปันโน
(ปาระมิวัคโค ฉัฏโฐ)

7. อิติปิโสภะคะวา ทะสะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ทะสะอุปะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ทะสะปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สะมะติงสะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ตังตังฌานะฌานังคะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อะภิญญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สะติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สะมาธิ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา วิมุตติ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา วิมุตติญาณะ ปาระมิสัมปันโน
(ทะสะปาระมิวัคโค สัตตะโม)

8. อิติปิโสภะคะวา วิชชาจะระณะวิปัสสะนาวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา มะโนมะยิทธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อิทธิวิทธิวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ทิพพะโสตะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปะระจิตตะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ทิพพะจักขุวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา จะระณะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา จะระณะธัมมะวิชชา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อะนุปุพพะวิหาระ ปาระมิสัมปันโน
(วิชชาวัคโค อัฏฐะโม)

9. อิติปิโสภะคะวา ปะริญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปะหานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สัจฉิกิริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ภาวะนา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปะริญญาปะหานะสัจฉิกิริยาภาวะนา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา จะตุธัมมะสัจจะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปะฏิสัมภิทาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
(ปะริญญานะวัคโค นะวะโม)

10. อิติปิโสภะคะวา โพธิปักขิยะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สะติปัฏฐานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สัมมัปปะทานะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อิทธิปาทะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อินทรียะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา พะละปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา โพชฌังคะปัญญา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อัฏฐังคิกะมัคคะธัมมะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา มะหาปุริสะสัจฉิกิริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อะนาวะระณะวิโมกขะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อะระหัตตะพะละวิมุตติ ปาระมิสัมปันโน
(โพธิปักขิยะวัคโค ทะสะโม)

11. อิติปิโสภะคะวา ทะสะพะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ฐานาฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา วิปากะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สัพพัตถะคามินีปะฏิปะทา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา นานาธาตุญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา นานาธิมุตติกะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อินทริยะปะโรปะริยัตตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา นิโรธะวุฏฐานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปุพเพนิวาสานุสสะติญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา จุตูปะปาตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อาสะวักขะยะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
(ทะสะพะละญาณะวัคโค ทะสะโม)

12 . อิติปิโสภะคะวา โกฏิสะหัสสานังปะกะติสะหัสสานังหัตถีนังพะละธะระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปุริสะโกฏิทะสะสะหัสสานังพะละธะระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปัญจะจักขุญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ยะมักกะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สีละคุณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา คุณะปาระมิสะมาปัตติ ปาระมิสัมปันโน
(กายะพะละวัคโค ทะวาทะสะโม)

13. อิติปิโสภะคะวา ถามะพะละ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ถามะพะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา พะละ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา พะละญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปุริสะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อะตุละยะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อุสาหะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา คะเวสิญาณะ ปาระมิสัมปันโน
(ถามะพะละวัคโค เตระสะโม)

14. อิติปิโสภะคะวา จะริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา จะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา โลกัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา โลกัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ญาณัตถะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ญาณัตถะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา พุทธะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา พุทธะจะริยาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ติวิธะจะริยา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปาระมิอุปะปาระมิปะระมัตถะ ปาระมิสัมปันโน
(จะริยาวัคโค จะตุระสะโม)

15. อิติปิโสภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุอะนิจจะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุทุกขะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ปัญจุปาทานักขันเธสุอะนัตตะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อายัตตะเนสุติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อัฏฐาระสะธาตุสุติลักขะณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา วิปะรินามะลักขะณะ ปาระมิสัมปันโน
(ลักขะณะวัคโค ปัณณะระสะโม)

16. อิติปิโสภะคะวา คะตัตถานะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา คะตัตถานะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา วะสิตะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา วะสิตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สิกขา ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สิกขาญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สังวะระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สังวะระญาณะ ปาระมิสัมปันโน
(คะตัตถานะวัคโค โสฬะสะโม)

17. อิติปิโสภะคะวา พุทธะปะเวณี ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา พุทธะปะเวณีญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา ยะมะกะปาฏิหาริยะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา จะตุพรหมวิหาระ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อะนาวะระณะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา อะปะริยันตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สัพพัญญุตะญาณะ ปาระมิสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา จะตุวีสะติโกฏิสะตะวัชชิระ ปาระมิสัมปันโน
(ปะเวณีวัคโค สัตตะระสะโม)

บุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน (สมเด็จโต พรหมรังสี)


หัวใจของการทำบุญทุกครั้ง
ขอให้ญาติโยมจงแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งตามนี้


“ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ”

บุญที่ทำไปจะส่งผลให้ได้รับบุญในชาติปัจจุบันทันที

คำทำนายประเทศไทยของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ


คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก
เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยทำนาย

เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง
น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา
เป็นประชาจนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน
ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร
องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส
แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน
เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง
ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา
ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม
สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป
โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว
ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี
เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ
มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน
พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก
เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย
เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช
ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล
จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ
ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม
ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว
ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง
สายน้ำหลั่งกรากวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม
หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป
เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น
แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ...

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ท่องคาถาให้ขลัง


ถาม : เรื่องเกี่ยวกับคาถาสมัยก่อน....?

ตอบ: สมัยนี้ก็ขลัง สำคัญว่าโยมทำจริงมั้ย ? เรื่องของเวทย์มนต์คาถามันเป็นบาทของอภิญญา คนจะทำอภิญญาต้องเป็นคนเด็ดขาด จริงจัง สม่ำเสมอ ไม่ย่อท้อ สมัยนี้บอกให้ไปท่องคาถา หลวงพ่อท่านมีคาถาอยู่บท เรียกว่า คาถาเงินล้าน ถ้าหากว่าใครท่องจะรวย ท่านบอกว่าอย่างน้อยให้ท่อง ๗ จบ ๙ จบ โยมหลายคนมาบ่น บอกอยากจะรวย ถามว่ารู้จักคาถาเงินล้านมั้ย ? รู้...แล้วเคยท่องมั้ย ? เคย ท่องวันละกี่จบ ? หนึ่งจบ มันน่ารวยอยู่หรอก อาตมาบอกไปท่องไม่ต้องมาก วันละ ๑๐๘ หรือ ๓๐๐ จบก็ได้ เขาถามแล้วอาจารย์เคยท่องวันละกี่จบ ? บอกเคยท่องสูงสุดประมาณ ๑,๒๐๐ มันหมดวันซะก่อน คือท่องกันแบบเอาคุณภาพ ไปช้าๆ อย่ารีบ เหมือนกับกินข้าว ค่อยๆ เคี้ยวหน่อย เอาคุณภาพ ว่าไปเรื่อยๆ สบายๆ ใจไม่ต้องไปนึกอะไร คิดว่าเราทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ของที่ดีที่สุดที่ครูบาอาจารย์ให้มา หน้าที่ของเราคือท่องบ่นเป็นการรักษาไว้ ถ้าเราทำอย่างแบบนี้ จริงจัง สม่ำเสมอ ไประยะหนึ่ง ผลที่มันสะสมตัวมามันจะเริ่มเกิดมันก็จะส่งให้ จุดที่คาถาให้ผลจริงๆ ก็คือ กำลังใจของเราที่เป็นสมาธิ ยิ่งท่องเป็นสมาธิสูงเท่าไหร่ คาถายิ่งให้ผลมากเท่านั้น

สมัยก่อนเขาท่องกันจริงจังสม่ำเสมอ อาตมาเคยรู้จักอดีตโจรคนหนึ่ง แก่มากแล้ว เรียกแกว่า ลุง ถามว่าสมัยของลุงทำไมมันหนังเหนียวกันเยอะแท้ สมัยของพวกผมไม่เห็นได้อย่างลุงเลย บอกไอ้หนูลุงถึงจะเป็นโจร แต่ถ้าหากว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ต้องรีบภาวนา เพราะเราไม่รู้ว่าเจ้าทรัพย์จะฆ่าเราหรือเปล่า ? ไม่รู้ว่าตำรวจจะยิงเราหรือเปล่า ? ว่างเมื่อไหร่ต้องภาวนา โอ้โห...ยิ่งกว่าพระอีก เพราะฉะนั้นเขาทำกันอย่างจริงจังสม่ำเสมอ และพวกนี้เขามีสัจจะ คำว่ามีสัจจะ อย่างโจรสมัยก่อนไปปล้น เขามีสัจจะอยู่ ถ้าหากว่าเป็นของที่เขาใช้อยู่จะไม่เอา เอาเฉพาะของที่เขาเก็บ เป็นของที่เขาเก็บก็จะไม่เอาหมด เอาครึ่งหนึ่ง เอาหนึ่งในสาม อะไรอย่างนี้ ถ้าหากเป็นของทำบุญนี่ จะไม่แตะต้องเลย

อาตมาอยู่นครปฐม มีโจรดังอยู่คนหนึ่ง คือ เสือผาด ทับสายทอง วันนั้นแกตั้งใจจะไปปล้นโรงสี ปักป้ายล่วงหน้าไว้ ๗ วัน ถึงวันนั้นฉันไปปล้นแน่ ถ้าอยากจะสบายๆ ก็เก็บเงินเก็บทองใส่กำปั่นรอไว้ ถึงเวลาไปหิ้วเสร็จ ก็จะไปเลย ไม่รบกวนอะไร ถ้าคิดจะสู้ ก็ไปหาคนมา ไปแจ้งตำรวจมาจะได้ฟัดกัน ปรากฏว่าเข้าไปถึงในงาน เถ้าแก่โรงสีกำลังบวชลูกชายอยู่ เสือผาดแทนที่จะได้สตางค์ ต้องควักตัวเองไป ๘๐๐ ไปให้เขา ถ้าทำบุญอยู่เขาไม่ยุ่งเลย แล้วอีกอย่างถ้าไปบ้านไหน เขาเคยให้ข้าวให้น้ำกิน เขาถือเป็นผู้มีบุญคุณ ให้อาหารเป็นการต่อชีวิต เขาจะไม่รบกวนบ้านนั้นอีกเลย

สมัยนี้ไม่มีหรอก มันปล้นกระทั่งพ่อแม่ตัวเอง ข่าวหนังสือพิมพ์ ดูหรือเปล่า มันเป็นสายให้เขาไปปล้น ให้เขาไปขโมยบ้านตัวเองก็มี ในเมื่อไม่มีความจริงจัง ความสม่ำเสมอ ขาดสัจจะ เรื่องเหล่านี้ทำไป ก็ไม่มีผล สมัยก่อนสัจจะเขามี ครูบาอาจารย์ห้ามอะไรเขาจะทำตามนั้น ห้ามด่าแม่คนอื่น ห้ามลอดราวผ้า ลอดใต้ถุนบ้าน เขาทำกันอย่างนั้นเลย

ปัจจุบันอาตมาก็เจอหลายคน เดินๆ ไป เห็นเขามองโน่นมองนี่ เลยถามว่าทำไม ? ระวังอยู่ กลัวจะไปลอดอะไรเข้า ถ้าอย่างนั้นเอ็งไม่ต้องเข้ากรุงเทพ เข้ากรุงเทพเมื่อไหร่ สะพานลอยเพียบ (หัวเราะ) เดี๋ยวมันก็ลอดจนได้ ทำให้จริง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนจริง ต้องทำจริงจัง แล้วจะมีผล ส่วนใหญ่ไปทำๆ ทิ้งๆ ยังไม่ทันจะเกิดผลก็ท้อเสียก่อน

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

แพ้


ฉันไม่เข้าใจนะ
ทำไมทุกคนต้องดิ้นรนทำงานหาเงินมากมาย
ทำไปเพื่ออะไรเหรอ

ทำงานมาก ๆ แล้ว (มีความสุขไม๊)
ได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว (มีความสุขไม๊)
สามารถไปยืนในจุดที่สูงสุดของชีวิตแล้ว (มีความสุขไม๊)

เชื่อฉันไม๊
ทุกครั้งที่คุณสามารถเอาชนะอุปสรรค
เพื่อให้ได้มาซึ่งที่คุณต้องการแล้ว
หรืออีกนัยหนึ่ง ความคุณสามารถสนองความอยากของคุณแล้ว
ทุกครั้งที่คุณได้มา
นิสัยของคุณจะเปลี่ยนไปทีละนิด
จะเปลี่ยนไปตามจำนวนความอยากของคุณ


จิตใจของคุณจะค่อย ๆ แคบลง,
เห็นแก่ตัวมากขึ้น,
และสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ
โดยไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิด

เพราะในสายตาคุณมองเห็นแค่ชัยชนะ
โดยไม่สนใจหนทางที่ต้องเดินผ่านไป
เพื่อให้ถึงชัยชนะนั้น


สิ่งต่าง ๆ ที่อยากได้
พอตายไปจะเอาไปได้ไม๊
ถ้าพรุ่งนี้คุณต้องตาย
วันนี้คุณมีความสุขไม๊
วันนี้คุณทำดีที่สุดหรือยัง

หรือที่เราทำทุกวันนี้
เรายังต้องพ่ายแพ้อยู่เช่นเดิม
เพราะเรายังแพ้ใจของเราเองอยู่ตลอดเวลา
เราแพ้ความอยากภายในใจ
เราแพ้ความต้องการทางวัตถุ

ทุกวันนี้
"เราแพ้ทุกคน"


ถึงคุณยืนในจุดที่ประสบความสำเร็จ
คุณก็แพ้
เพราะคุณยังต้องดิ้นรนต่อไปเพื่อไม่ให้ใครมาแทนที่ที่คุณอยู่
จริงไม๊

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

กรรมเหนือหมอดู


กรรมเหนือหมอดู
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


ทำไมการพยากรณ์อดีตจึงแม่น พยากรณ์อนาคตไม่แม่น
ตอบ เพราะชีวิตคนมิได้ขึ้นอยู่กับโหราศาสตร์เป็นเงื่อนไขอย่างเดียว มันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขปัจจัยอีกมากมาย อดีตนั้น "นิ่ง" แล้ว ไม่มีเงื่อนไขอะไรมาผลักดันให้เป็นอื่นได้ เพราะฉะนั้น การทำนายทายทักจึงมักจะตรง แต่ปัจจุบันและอนาคต มันยังเคลื่อนไหวเพราะเหตุปัจจัยอีกหลายอย่าง ยังไม่นิ่ง
เงื่อนไข ที่สำคัญที่สุดคือ "กรรม" (การกระทำ) ของคนๆ นั้นอง เขาทำทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีคละกันไป สิ่งเหล่านี้แหละมีแนวโน้มจะให้ผลในอนาคต ไม่ว่าดี หรือไม่ดี
พูด อีกนัยหนึ่ง เราเป็นผู้กำหนดอนาคตเราเอง ถ้าต้องการให้ชีวิตเป็นไปอย่างใด ก็ต้องสร้างเงื่อนไขที่ดีๆ ไว้ให้มาก แล้วอนาคตจะไปดีเอง ตรงข้ามถ้าสร้างแต่เงื่อนไขไม่ดี อนาคตก็เป็นไปตามนั้น

คนเราถ้าไม่ขวนขวายพยายาม
ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม
ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของฟ้าดิน
แต่กรรมเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดอย่างแท้จริง
นั่นคือเราต้องสร้างอนาคตของเราเอง
คนที่พยายามพึ่งตัวเองด้วยการกระทำแต่ความดีถึงที่สุดแล้ว
ย่อมอยู่เหนือโชคชะตา

ถ้าใครคิดว่าชีวิตถูกลิขิตมาอย่างใดก็ย่อมเป็นอย่างนั้น แก้ไขไม่ได้เลย
ผู้นั้นถึงจะเป็นคนคงแก่เรียนเพียงใด
ก็นับว่าโง่อยู่นั้นเอง

เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า การเด็ดดอกไม้เพียงดอกเดียว สะเทือนไปถึงดวงดาว
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราตัดสินใจทำกรรมดีกรรมชั่วในตอนนี้ มันสะเทือนไปถึงปัจจุบันและอนาคตของเราด้วย
ด้วยเหตุนี้ หมอดูดังๆจำนวนมากมักทำนายเหตุการณ์ต่างๆผิดพลาด
เพราะเขารู้แต่พรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิม พรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่เขาไม่รู้
แม้แต่พระอริยะเจ้า ท่านยังทำนายพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่ไม่ได้เลย ท่านรู้เฉพาะพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิมเท่านั้น

1. หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
หลวงพ่อจรัญทำนายว่า.....อาตมาจะมรณภาพวันที่ 14 ตุลาคม 2521 เวลาเที่ยง 12.45 น.ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย
นั่นคือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิมของท่าน
เมื่อถึงเวลานั้น หลวงพ่อจรัญท่านก็เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ คอหักจริงๆ แต่ท่านไม่ตาย ด้วยเหตุที่ หลวงพ่อจรัญได้สำนึกบาปที่ฆ่าหักคอไก่จำนวนมาก และแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น ไก่เหล่านั้นเลยให้อภัย ท่านจึงแค่คอหัก แต่ไม่ตาย
นี่คือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่ของท่าน
วิเคราะห์
- หลวงพ่อจรัญมองเห็นกรรมเก่าที่จะให้ผล(ตามพรหมลิขิต/กฎแห่งกรรม)
- หลวงพ่อจรัญมองไม่เห็นกรรมใหม่ที่จะให้ผล ท่านทำกรรมใหม่ คือ สำนึกบาปที่ฆ่าหักคอไก่จำนวนมาก และแผ่เมตตาให้ไก่เหล่านั้น
- กรรมใหม่ส่งผลเปลี่ยนพรหมลิขิต กฎแห่งกรรมในอดีต จึงให้ผลไม่ได้เต็มกำลัง เพราะโดนวิบากกรรมดีในชาตินี้ช่วยไว้

2. พระสารีบุตร
ในครั้งพุทธกาล พระสารีบุตร และภิกษุอื่นๆ ต่างไม่ได้ให้พรเณรบวชใหม่คนหนึ่ง ให้มีอายุยืน เพราะวิบากกรรมของเขาต้องตาย ถึงฆาตแน่ พระสารีบุตรได้เล็งเห็นว่า เณรผู้นี้จะมรณะในอีก 7 วัน
ท่านจึงอนุญาตให้เณรกลับไปเยี่ยมบ้าน เพื่อโปรดบิดามารดา และญาติโยมทางบ้านเป็นครั้งสุดท้าย
นั่นคือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดเดิมของเณรบวชใหม่
เมื่อเพลาผ่านไปเจ็ดวัน เณรได้กลับมายังอารามเหมือนเดิม พระสารีบุตรเองแปลกใจว่า เพราะเหตุใดเณรคนนั้นไม่ตาย ท่านจึงได้สอบถามเณรว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทางไปและกลับ เณรได้แถลงไขว่า ระหว่างทางที่ไปนั้น ได้พบปลาจำนวนหนึ่งตกคลักในหนองน้ำที่ใกล้แห้ง จึงได้เอาจีวรช้อนขึ้นมาไปปล่อยในแหล่งน้ำที่ใกล้ๆ
ด้วยญาณแห่งพระสารีบุตร ท่านก็ทราบได้ว่า ปลาเหล่านั้น คืออดีตเจ้ากรรมนายเวรของเณรผู้นั้นเอง และเมื่อเณรได้นำปลาไปปล่อยในแหล่งน้ำ เท่ากับว่าได้ทำบุญต่ออายุให้กับตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวรนั้น จึงได้อโหสิกรรมให้เณร
นั่นคือพรหมลิขิตหรือแผนที่ชีวิตชุดใหม่ของเณรบวชใหม่
วิเคราะห์
- พระสารีบุตรมองเห็นกรรมเก่า(พรหมลิขิต/แผนที่ชีวิต)ที่จะให้ผลให้เณรคนหนึ่งตาย
- พระสารีบุตรมองไม่เห็นกรรมใหม่ ที่จะให้ผลให้เณรคนนั้นไม่ตาย ซึ่งเป็นตอนที่เณรคนนั้นเดินทางกลับบ้าน เณรไปปล่อยปลา ซึ่งเป็นการทำกรรมใหม่ ทำให้กรรมเก่าของเณรไม่ส่งผล

มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สามารถเห็นอนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลง

สรุป
กฎแห่งกรรมก็คือพรหมลิขิตนั่นเอง
แต่กฎแห่งกรรมบอกวิธีการแก้พรหมลิขิต
หรือ แก้แผนที่กฎแห่งกรรมในอดีตที่ส่งผลถึงปัจจุบันและอนาคตเอาไว้ด้วย
ถ้าเราทำตามพรหมลิขิต โดยไม่แก้ไขอะไรให้ดีขึ้น ก็เท่ากับเราไม่เข้าใจกฏแห่งกรรมอย่างแท้จริง

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

พระคาถานะจังงังมหาเมตตา

พระคาถานะจังงังมหาเมตตา

ตั้งนะโม 3 จบ
นะหลง นะไหล นะจับจิต นะจับใจ
พิสมัยในมหานะ ระจุติ ปฏิสนธิ บังเกิดเป็นนะ
อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ ติวัตตัพโพ
เอหิจิตตัง ปิยะมะมะ

พระคาถานะจังงังมหาเมตตา บทนี้ต้องจุดธูป 9 ดอกขณะท่องคาถา เเล้วเสกเป่าใส่เครื่องแป้งหอมนำมาผัดหน้าทาตัวเพื่อให้เป็นมงคล เพื่อให้ดลบันดาลด้านเสน่เมตตา ให้คนรักคนหลง ให้คนนิยมชมชอบในยามเเรกเห็น หรือจะใช้ พระคาถานะจังงังมหาเมตตา เสกใส่น้ำ ใส่ขนมหวาน ให้คนที่หมายปองดื่มกิน ก็ดีนัก

พระคาถามหาละลวย(ฉบับขุนแผน)

พระคาถามหาละลวย(ฉบับขุนแผน)

ตั้งนะโม 3 จบ
โอม ละลวย มหาละลวย ชายเห็นชายงวย หญิงเห็นหญิงหลง
มึงเห็นหน้ากูก็ให้งวยงงหลงใจรัก จะ ภะ กะ สะ
ทั้งฝูงชนมาพะวักพะวงหลงรักใคร่ จะ ภะ กะ สะ
กูจะมารำลึกถึง เจ้าไทยก็ลืมสวาทรัก จะ ภะ กะ สะ
กูจะคิดสาวแท้ๆ ก็มาลืมทั้งแม่ทั้งพ่อ จะ ภะ กะ สะ
พะวักภวังค์ให้จิตมันคลุ้มคลั่งตะลึงหลง จะ ภะ กะ สะ
โอมพระพายเจ้าเอ๋ย จงชักนำอีนั่นมา จะภะกะสะ
หาละลวยงวยงงจงใจรักกูแห่งกู จะ ภะ กะ สะ
ช้างอยู่ในป่าหลงรักกู กูก็มาลืมลม จะ ภะ กะ สะ
ผมอยู่ในหัวก็มาลืมเกล้า จะ ภะ กะ สะ
ข้าวอยู่ในคอก็มาลืมกลืน สะอึกสะอื้นมาหากู จะ ภะ กะ สะ
คิดถึงกูทนอยู่มิได้ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ
อาคัจฉาหิ อาคัจฉายะ

พระคาถามหาละลวย ฉบับขุนแผน
เรื่องพระคาถาแต่ละบทก็มีครูควรระลึกถึงครูบาอาจารย์เจ้าของวิชาทุกครั้ง และสิ่งที่ไม่ควรทำสำหรับคนที่คิดจะชอบทางนี้ ที่สำคัญมากๆก็คือ
1. ไม่ผิดลูกผิดเมียใคร
2. เมื่อได้เขาแล้วต้องเลี้ยงดูห้ามทิ้งขว้าง
3.ประพฤติดี
สามข้อนี้สำคัญ หากฝืนไม่ปฏิบัติต่อให้มีของดี วิชาดี อย่างไร พุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ก็ไม่อาจคุ้มครองได้ ก่อนออกจากบ้านเสกแป้งผัดหน้า แสกผมหวีเป็นมหาเสน่ห์

พระคาถามหาจินดามนต์

พระคาถามหาจินดามนต์

ตั้งนะโม 3 จบ
ติวาคะ ภะโธพุท นังสานุส มะวะเท ถาสัตถิ ระสามะ ทัมสะริ
ปุโรตะ นุตอะทู วิกะโล โตคะสุ โนปันสัม นะระจะ ชาวิชโธ
พุธสัมมา สัมหังระ อะวาคะ ภะโสปิ ติอิ

พระคาถามหาจินดามนต์ บทนี้ ไม่จำกัดวิธีใช้ ถ้าหากว่าเราจะต้องการใช้ในทางใด ก็ให้ใจมุ่งมั่น อาราธนาพระคาถาจินดามนต์นี้ ก็จะช่วยได้ทุกๆทางอย่างสารพัด เมื่อครั้งขุนแผนถูกจำคุก ก็ใช้พระคาถามหาจินดามนต์บทนี้ สะเดาะโซ่ตรวนออกมาได้และยังใช้ในการสะเดาะกุญแจ และอื่น ๆ ได้ทุกอย่างสารพัดจะใช้ พระคาถามหาจินดามนต์

พระคาถาข่มศัตรู

พระคาถาข่มศัตรู

ตั้งนะโม 3 จบ
ตะโต โพธิสัตโต ราชะสิงโหวะมหิทธิโก
อะระหัง ตะมัตทังปะกาเสนโต
ราชะสิงโห สัตถาอาหะ นะโมพุทธายะ นะมามิสุคะตังชินัง

พระคาถาข่มศัตรู ท่องพระคาถาข่มศัตรู เพื่อให้ตัวเรามีอำนาจที่เหนือกว่าศัตรูที่คิดร้ายเรา ใช้บริกรรมเมื่อจะต้องไปเจอศัตรู จะทำให้ศัตรูเกรงกลัว - ท่อง ๓ จบแล้วกระทืบเท้าดังๆ ก่อนออกจากบ้านเหมือนกับพิธีตัดไม้ข่มนาม

พระคาถาเสกป้องกันตัว

พระคาถาเสกป้องกันตัว

ตั้งนะโม 3 จบ
นะโมพุทธายะ โมพุทธายะนะ
พุทธายะนะโม ธายะนะโมพุท
ยะนะโมพุทธา อาราธนานัง
นะวันทนานัง ปุเชมิพุทธัง
อะภิปูชะยันติ

พระคาถาเสกป้องกันตัว คาถานี้ใช้เสกป้องกันภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศาสตราวุธ หรือเครื่องรางของที่บูชา หรือเลี้ยงไว้ มิให้เข้าตัวได้ และกันคุณไสยต่างๆ ได้ร้อยแปด

พระคาถาสวดห้ามบาปเคราะห์

พระคาถาสวดห้ามบาปเคราะห์

ตั้งนะโม 3 จบ
นักขัตตะยักขะ ภูตานัง ปาปัคคะหะ นิวาระณา ปะริตตัสสา
นุภาเวนะ หันตะวา เตสัง อุปัททะเว

พระคาถาสวดห้ามบาปเคราะห์ บทนี้เป็นข้อห้ามบาปเคราะห์ อันเกิดด้วยอำนาจของดาวนักษัตร ยักษ์มาร ภูติผีปีศาจทั้งหลาย ด้วยอานุภาพของ พระคาถาสวดห้ามบาปเคราะห์ บทนี้ ซึ่งจะช่วยขจัดอุปัทวะทั้งหลายที่จะเกิดมี ให้ห่างหายออกไป ด้วยบารมีของพระคาถาบทนี้

พระคาถาแก้อาคม

พระคาถาแก้อาคม

ตั้งนะโม 3 จบ
นะโมพุทธายะ
นะรา นะระ รัตตัง ญานัง
นะรา นะระ รัตตัง หิตัง
นะรา นะระ รัตตังเขมัง วิปัสสิตัง นะมามิหัง

พระคาถาแก้อาคม ใช้สวดภาวนากับน้ำแล้วนำมาดื่มและอาบ ถ้าหากรู้สึกว่าร่างกายจิดใจไม่เป็นปกติ กระวนกระวายซึ่งอาจจะถูกของการท่อง "พระคาถาแก้อาคม" เป็นประจำถึงแม้จะไม่ได้โดนอาคมอะไร แต่ท่องใว้ก็เป็นสิริมงคลกับเรา

พระคาถาหนังเหนียว

พระคาถาหนังเหนียว

ตั้งนะโม 3 จบ
สุกิตติมา สุภาจาโร สุสีละวา สุปากะโต อัสสะสิมา
วะเจธะโร เกสะ โรวา อะสัมภิโต

พระคาถาหนังเหนียว สวดภาวนากับน้ำมันทาถูร่างกายจะทำให้อาการฟกช้ำหายเร็ว หรือก่อนออกศึกใดๆ จะทำให้หนังเหนียวไม่บาดเจ็บง่าย และทำให้อาการฟกช้ำหายเร็ว

พระคาถาสาริกาลิ้นทอง

พระคาถาสาริกาลิ้นทอง

ตั้งนะโม 3 จบ
พุทธา อะเนนา มะลิยา สุสังคะเยมิ
พุทธา อิริมะลิยา สุสังคะเยมิ
พุทธา อิรปะโย เคมะคุณนะ ปักเขสะเมมะมิ
อุนาโลมา ปันนะ วิชายะเต

พระคาถาสาริกาลิ้นทองใช้สวดภาวนาหากต้องการให้คนรักใคร่ พูดจาเป็นเสน่ห์ ตอนท่องถึงคำว่า มิ ก็ให้แตะที่ลิ้นด้วยทุกครั้ง

พระคาถาสมัครงาน

พระคาถาสมัครงาน

ตั้งนะโม 3 จบ
พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะริรัญ ชีวิตัญวิทัง
นะโมมิตตามนุสสาจะ นะเมตตา โมกรุณา

พระคาถาสมัครงาน
การสมัครงาน ก่อนเราจะออกไป หางานหรือ ไปสัมภาษณ์งาน ให้ท่อง "พระคาถาสมัครงาน"ท่องก่อนออกจากบ้านไปสัมภาษณ์หรือสมัครงานจะทำให้มีเสน่ห์ เป็นที่ประทับใจ และมีเมตตามหานิยม

พระคาถามหาเสน่ห์

พระคาถามหาเสน่ห์

ตั้งนะโม 3 จบ
จันโทอะภกันตะโร
ปิติ ปิโย เทวะมนุสสานัง
อิตภิโยปุริ โส
มะ อะ อุ อุ มะ อะ อิสวาสุ อิกะวิติ

คาถามหาเสน่ห์ ให้ภาวนาคาถามหาเสน่ห์นี้ ๓ จบก่อนออกไปพบคน คาถามหาเสน่ห์ จะทำให้คนที่ต้องไปพบเกิดความรักใคร่ มีเมตตาต่อเรา

คาถาความรัก

คาถาความรัก
ตั้งนะโม 3จบ

ปุพเพวะ สันนิวา เสนะ
ปัจจะบันนะ หิเตนะ วา
เอวันตัง ชะยะเต เปมัง
อุปะลัง วะ ยะโส ธะเก ฯ

ให้สวดพระคาถา คาถาความรัก เท่าอายุ กลางคืนจะฝันถึงเนื้อคู่คนรัก เมื่อเรามีสมาธิและตั้งใจดี
................................................................................

มหามนต์รัก
ตั้งนะโม 3 จบ
โอม นะ ปะ โร รันนะขุเภติ พุทธัง สะระติ จิตตัง
สมาคะมา ธัมมัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา สังฆัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา

คาถาความรัก ให้ภาวนากับดอกไม้ก่อนที่จะส่งให้กับคนที่เรารัก เมื่อเขาหรือเธอสูดดมดอกไม้ก็จะรักเราตอบ

พระคาถาอาคมเจ้านายเมตตา

คาถาอาคมเจ้านายเมตตา

ปัญจะมังสิระสังขาตัง นาหาย นะกาโร โหติ สัมภะโว อิสวาสุ

ให้สวดท่องภาวนา ๓ จบ ก่อนออกจากบ้าน แล้วเจ้านายจะเมตตา ปรับตัวให้เจ้านายรัก ทำงานขยัน

คาถา พญาเงินพญาทอง

คาถา พญาเงินพญาทอง

มหานิโคทะนามะ อิทานิ เอหิ ธะนัง สิริโภคา นะมาสะโย อิตธิฤทธิ์ธิ ชัยยะชัยยัง ลาภะลาภัง สิทธิธัมมัง ประสิทธิเม

คาถามนต์รัก

โอม นะ ปะ โร รันนะขุเภติ
พุทธัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา
ธัมมัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา
สังฆัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา

คาถามนต์รัก การใช้คาถามนต์รัก ให้ภาวนากับดอกไม้ก่อนที่จะส่งให้คนรัก
เมื่อเขาหรือเธอสูดดมดอกไม้ ก็จะรักเราตอบ

พระคาถานะหน้าทอง

พระคาถานะหน้าทอง ฉบับดั่งเดิมคัดลอกจากคู่มือชายชาตรีฉบับเดิมในงานฉลองอายุพระครูเนกขัมมาภิมนต์ หลวงพ่อดิษฐ์ ติสสโร วัดปากสระ พัทลุง

กรรมวิธีท่อง คาถานะหน้าทอง
พระคาถานะหน้าทอง เมื่อถึงบทพระคาถาแต่ละตัวให้ทำตามแต่ละบทนั้น
ท่องถึง ตัว นะ ก็ให้กำหนดจิตนึกเขียนที่กลางเศียรพระลักษณ์หน้าทองเป็นอักขระตัว นะ
ท่องถึงบท โม ก็เขียนอักขระตัว โม ลงบนหน้าผาก
ท่องถึงบท พุท(ธ) ก็ให้เขียน พุท(ธ) ลงที่หูทั้งสองข้างๆ ละตัว
ท่องถึงบท ธา ก็ให้เขียน ธา ลงที่ตาทั้งสองข้างๆ ละตัว
ท่องถึงบท ยะ ก็ให้เขียน ยะ ลงที่ลิ้น

กำหนดน้อมจิตอธิษฐานให้หน้าของเราเป็นพระพักตร์พระลักษณ์หน้าทอง เข้าหาเจ้านายเป็นเมตตาอย่างประเสริฐสุดสารพัดจะใช้เอาเถิด วิเศษยิ่งนักแล ใช้เสกหน้าทองก็ได้
ท่อง นะโม 3 จบ
นะ กาโร กุกกุสันโธ สิโรมัชเฌ
ขออัญเชิญพระกุกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่เบื้องศรีษะของข้าพเจ้า ขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง

นะ กาโร สุวัณโณเจวะ นะ งามคือดังแสงทอง รัศมีสีส่องไปทั่วสกลกายา เป็นที่เสน่หาแก่คนทั้งหลาย
เดชะพระกุกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสิทธิวิชายะเตฯ

โม กาโร โกนาคะมโน นะลาฐิเต
ขออัญเชิญพระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ที่หน้าผากของข้าพเจ้า ขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง

โม กาโร มะณีโชตะกัง โม งามคือแสงแก้วมณีโชติ ส่องแสงโปรดอยู่เบื้องหน้าผาก หญิงเห็นให้หลงไหล
ชายเห็นให้หลงรัก เห็นหน้าให้ทายทักเป็นมหานิยม
เดชะพระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสิทธิวิชายะเตฯ

พุท(ธ) กาโร กัสสะโป เทวกัณเณ
ขออัญเชิญพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ในโสต(ร์)ทั้งสองของข้าพเจ้า ขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง

พุท(ธ) กาโร สังขะเมวาจา พุท(ธ) งามคือแสงสังข์อยู่ในโสต(ร์)ทั้งสองของข้าพเจ้า ป้องกันบำบัดโรคโรคาพยาธิทั้งหลายเดชะพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสิทธิวิชายะเตฯ

ธา กาโร โคตะโม ทเวเนตเต ขออัญเชิญพระศรีศากกะยะมุนีโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ในเนตรทั้งสองของข้าพเจ้าขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง

ธา กาโร สุริยังเจวะ(จันทังเจวะ) ธา งามคือดังแสงพระอาทิตย์(แสงพระจันทร์) สมณชีพราหมณ์ มนุษย์บุรุษ หญิงชายทั้งหลาย เห็นเนตรทั้งสองของข้าพเจ้า ให้มีจิตคิดเมตตายินดีเดชะพระศรีศากกะยะมุนีโคตมบรมครูเจ้า ประสิทธิวิชายะเตฯ

ยะ กาโร อะริยะเมตตรัยโย ชิวหาทีเต
ขออัญเชิญพระศรีอาริยะไมตรีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ในลิ้นของข้าพเจ้า ขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง

ยะ กาโร มุกขะเมวะจะ ยะ งามคือดังแสงมุกข์ส่องแสงสุกอยู่ในลิ้นของข้าพเจ้า จะเจรจาพาทีด้วยสมณพราหมณาจาริย์ มนุษย์ บุรุษ หญิงชายด้วยถ้อยคำให้มีจิตเมตตากรุณาแก่ข้าพเจ้าเถิด
เดชะพระศรีอาริยะไมตรีสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสิทธิวิชายะเตฯ
สัพเพชะนานัง พะหูชะนานัง คือคนทั้งหลายเอ๋ย มึงเห็นหน้ากูให้มึงรักกู
ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งกลางวันกลางคืน ชะยัง สุขัง ลาภัง พุทโธโส ภะคะวา
ปัญจะพุทธา นะมามิหัง ปิยะเทวะ มนุสสานัง ปิโยพรหมา นะมุตตะโม
ปิโยนาคะ สุปัณณานัง ปิณินทะริยัง นะมามิหังฯ

เมื่อท่องคาถานะหน้าทอง แล้วอธิษฐานแผ่เมตตาว่า
พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
คาถานะหน้าทอง ตำหรับนี้ลองท่องกันดู เป็นเมตตามหานิยมอย่างประเสริฐสุดสารพัดจะใช้เอาเถิด วิเศษยิ่งนักแล

คาถาคดีความ

คาถาคดีความ
นะโม 3 จบ
อิติปิโสภะคะวา อรหังสัมมา สัมพุทโธ อรหังเต โน
โสตาปะติ ภะลัง อะนาตามิ พะลังเตโช วิทะเตเชยยะ
เชยยะ สัพพะศัตรู วินาสสันติ

คาถาคดีความ ใช้ภาวนาหากเมื่อมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล คาถาคดีความ ใช้โดยเขียนชื่อคู่คดีลงบนกระดาษแล้วนำไปเผาทิ้ง ทำทุกวัน คู่ความจะถอนฟ้อง

รวมพระคาถาจากหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


พระพุทธคาถา
สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหังพุธโธ นะโมพุทธายะ
สวดทุกคืน คืนละ 7 จบ
อานุภาพคาถามีดังนี้
1.ศัตรูจะพินาศไปเองเมื่อคิดประทุษร้าย
2.จะเกิดผลในด้านมงคลทุกประการตามที่ปรารถนา
3.จะสามารถเห็นได้แจ่มแจ้งด้วยญาณ เห็นได้ชัดเจนทุกประการ และทุกขณะที่ประสงค์จะเห็น
4.เป่าให้ศิษย์ผู้เรียนทิพยจักขุญาณ และเรียนไปปรโลกได้ มีญาณเครื่องเห็นแจ่มใส

คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

ตั้งนะโมฯ 3 จบก่อนแล้ว นมัสการสรณคมณ์ (พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ) แล้วให้สมาทานศีล 5 (ปาณา ฯลฯ สุราเมระยะฯ )แล้วจึงท่อง พุทธะ มะ อะ อุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมานะ พุทธัสสะ สวาโหม
สวดเช้าเย็น ครั้งละ 9 จบ จะทำให้มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ เงินไม่ขาดมือ

คาถาอภิญญารวม
โสตัตตะภิญญา


คาถารวมจิต
อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง

คาถาปราโมทย์
ปราโมทย์

คาถาพระนิพพานนิมิต
นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา

คาถาขีณาสวา อนิยตา และนิพพานสุขัง
ขีณาสวา อนิยตา และนิพพานสุขัง

คาถาเรียกจิตคน

จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ
(เรียกจิตคนสำหรับเทศน์ อบรม สนทนา ทำให้ใจคนน้อมมาหา)

คาถาสนองกลับผู้กระทำไสยศาสตร์

สัมปจิตฉามิ

คาถาป้องกันคุณไสย และกันยาพิษ ยาสั่ง

เมสัมมุขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขา

คาถากำบังตัว
สัมปะติจฉามิ

คาถากันฟ้าผ่า
อากาเสจะ พุทธทิปังกะโร นะโมพุทธายะ

คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป

พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย วินาศสันติ ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ

คาถาพระอินทร์

สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ
(ใช้กับการเรียน ให้อ่านหนังสือแล้วจำได้ ทำข้อสอบได้)

คาถาพระยายม
นะโมพุทธายะ

พุทธคาถา
มหาวิชโย โหหิ อสังวาโส
(ภาวนากันอันตรายทุกอย่าง ผู้คิดร้าย จะย่อยยับไปเอง เป็นมหามงคลทุกอย่าง)

คาถาเมตตา

พระอรหัง สุคโต ภควา นะเมตตาจิต
(คาถาบทนี้ หลวงพ่อบอกว่าให้ใช้เวลาไปติดต่อผู้อื่น เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยก่อนจะออกจากบ้าน ให้นึกใบหน้าของผู้ที่เราจะไปหาก่อน แล้วภาวนาคาถาบทนี้ไปด้วย เมื่อไปพบแล้วจะสำเร็จผลตามที่ต้องการ คาถาบทนี้หลวงพ่อบอกว่า ท่านได้จากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า)

คาถาสมเด็จประทาน

มหาโคตมะ ปาทะเกหิ จะ อปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง
(เสกของต่างๆ ให้มนุษย์ จะได้มีจิตเมตตาต่อกัน เสกอะไรก็ได้)

คาถาพระโมคคัลลานะ ประทาน
1.อิติ สุกขติ สุกขโต
(ทำน้ำมนต์ให้คนอยู่ในบ้าน จะได้รับความเมตตาเป็นพิเศษ)
2.อิติ สุคติ สุคโต
(ทำน้ำมนต์ให้คนเดินทาง จะประสบผลสมประสงค์และปลอดภัยทุกประการ)

คาถาท่านท้าวเวสสุวัณ
พยัคฆา พยัคฆัง มานี่ให้หมด
(เป็นคาถาภาวนาให้คนมารวมกัน อธิษฐานเอาตามใจ ภาวนาเรียกเสกแป้ง สีผึ้งก็ได้)

คาถาป้องกันอันตราย
รูปพระพุธโธ โหหิ
(ภาวนาคาถานี้ เสกน้ำลายกลืนลงไปก่อนออกจากบ้าน ท่านกล่าวว่า แม้ปืนก็ยิงไม่ออก)

คาถานวด

อิมัสมิงมาเล อิมังเต มาสัง วัสสัง อุเปมิ
(นึกถึงพระรัตนตรัยก่อนว่าคาถา แล้วให้ภาวนาเรื่อยไปขณะนวด)

เสกของขายภายในร้าน
นะมะนะอะ นอกอนะอะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ

คาถาให้สารภาพ

กัณหัง อเสนโต อเทสยิ
(บอกความจริงให้หมด)

คาถาท่านท้าวมหาราชทั้ง 4
อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอรหังรักษา
(ท่านบอกว่าท่องคาถาบทนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวอันตราย)

คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป

จิเจตะสา มหามันตัง
(สอนให้ทำน้ำมนต์ ใช้การทุกอย่างสวัสดี เป็นมหาเมตตา และทำลายโชคร้ายทั้งหมด ให้กลายเป็นดี รักษาโรคทั้งหมด ตามแต่จะอธิษฐาน)

คาถาโรยทราย (นะจังงัง)
นะโม พุทธายะ (ว่า 1 จบ)
อิติ ศัตรู ยามาคะตา (โรยไปว่าไป)
(ป้องกันศัตรู)

คาถาเสกขี้ผึ้งสีปาก เมตตามหานิยม
(คาถาพระพุทธกัสสป)
นาสังสิโม ปาสุอุชา

ขอบคุณ
คุณ Koymoo
พระคาถานี้มาจากหนังสือ "ลูกรักพ่อ 2" ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
http://khunmorkoymoo.blogspot.com/

และ www.palungjit.com
ในการนำเสนอเนื้อหาสาระดี ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

บทสวด "มหากา"

บทสวด
มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา
ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง
นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ
พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ
จารีสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัดเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน - เม แปลว่าข้าพเจ้า)

คำแปล
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยการกล่าวสัจจวาจานี้ ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า

ขอข้าพเจ้าจงมีชัยชนะในชัย มงคลพิธี ดุจพระจอมมุนีผู้ยังความปีติยินดีให้เพิ่มพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนต้นมหาโพธิ์ทรงถึงความเป็นเลิศยอดเยี่ยม ทรงปีติปราโมทย์อยู่เหนืออชิตบัลลังก์อันไม่รู้พ่าย ณ โปกขรปฐพี อันเป็นที่อภิเษกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ฉะนั้นเถิด เวลาที่กำหนดไว้ดี งานมงคลดี รุ่งแจ้งดี ความพยายามดี ชั่วขณะหนึ่งดี ชั่วครู่หนึ่งดี การบูชาดี แด่พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเป็นกุศล ความปรารถนาดีอันเป็นกุศล ผู้ได้ประพฤติกรรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบความสุขโชคดี เทอญ

ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

ขอสรรพมงคลจง มีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

ขอสรรพมงคลจง มีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ

บทสวด "พาหุงฯ" (พร้อมคำแปล)


บทสวด
พาหุง สะหัสสะมะภินิม มิตสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตโฆระสะเสนะมารัง ทานังทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเม ชะยะมังคะลานิ

มาราติเร กะมะภิยุช ฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนา ฬะวะกะมักขะ มะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเม ชะยะมังคะลานิ

นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจัก กะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง เมตตัม พุเสกะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเม ชะยะมังคะลานิ

อุกขิตตะขัคคะ มะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเม ชะยะมังคะลานิ

กัตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเม ชะยะมังคะลานิ

สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะ กะวาทะเกตุ วาทาภิโร ปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง ปัญญา ปะทีปะชะลิโต ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเม ชะยะมังคะลานิ

นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุทธัง มะหิทธิง ปตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุเม ชะยะมังคะลานิ

ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ

เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ

คำแปล
พระจอมมุนี ได้เอาชนะพระยามารผู้เนรมิตแขนมากตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ ขี่ช้างครีเมขละ มาพร้อมกับเหล่าเสนามารซึ่งโห่ร้องกึกก้อง ด้วยวิธีอธิษฐานถึงทานบารมี เป็นต้น,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

พระจอมมุนี ได้เอาชนะยักษ์ชื่อ อาฬวกะ ผู้มีจิตหยาบกระด้าง ผู้ไม่มีความอดทน มีความพิลึกน่ากลัวกว่าพระยามาร ซึ่งได้เข้ามาต่อสู้อย่างยิ่งยวดจนตลอดคืนยันรุ่ง ด้วยวิธีทรมานอันดี คือ ขันติ ความอดทน,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

พระจอมมุนี ได้เอาชนะช้างตัวประเสริฐ ชื่อ นาฬาคิรี ที่เมายิ่งนัก และแสนจะดุร้าย ประดุจไฟป่าและจักราวุธและสายฟ้า ด้วยวิธีรดลงด้วยน้ำ คือ ความมีพระทัยเมตตา,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

พระจอมมุนี ทรงคิดจะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ จึงได้เอาชนะโจรชื่อ องคุลิมาล ผู้แสนจะดุร้าย มีฝีมือ ถือดาบวิ่งไล่พระองค์ไปสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

พระจอมมุนี ได้เอาชนะคำกล่าวใส่ร้ายของ นางจิญจมาณวิกา ซึ่งทำอาการเหมือนดั่งตั้งครรภ์ เพราะเอาท่อนไม้กลมผูกไว้ที่หน้าท้อง ด้วยวิธีทรงสมาธิอันงาม คือ ความกระทำพระทัยให้ตั้งมั่นนิ่งเฉย ในท่ามกลางหมู่ชน,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

พระจอมมุนี ผู้รุ่งเรืองด้วยแสงสว่าง คือ ปัญญา ได้เอาชนะ สัจจกะนิครนถ์ ผู้มีความคิดมุ่งหมายในอันจะละทิ้งความสัตย์ มีใจคิดจะยกถ้อยคำของตนให้สูงประดุจยกธง และมีใจมืดมนยิ่งนัก ด้วยการแสดงเทศนาให้ถูกใจ,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

พระจอมมุนี ได้เอาชนะพญานาคราช ชื่อ นันโทปนันทะ ผู้มีความรู้ผิด มีฤทธิ์มาก ด้วยวิธีบอกอุบายให้พระโมคคัลลานเถระพุทธชิโนรส แสดงฤทธิ์เนรมิตกายเป็นนาคราช ไปทรมานพญานาค ชื่อ นันโทปนันทะ นั้น,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

พระจอมมุนี ได้เอาชนะพระพรหมผู้มีนามว่า ท้าวผกาพรหม ผู้มีฤทธิ์ คิดว่าตนเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ ผู้ถูกพญานาครัดมือไว้แน่น เพราะมีจิตคิดถือเอาความเห็นผิด ด้วยวิธีวางยา คือ ทรงแสดงเทศนาให้ถูกใจ,
ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้นเถิดฯ

บุคคลใดมีปัญญา ไม่เกียจคร้าน สวดและระลึกถึงพรุพุทธชัยมงคล ๘ คาถาเหล่านี้ทุกๆ วัน บุคคลนั้นจะพึงละความจัญไรอันตรายทั้งหลายทุกอย่างเสียได้ และเข้าถึงความหลุดพ้น คือ พระนิพพานอันบรมสุข นั้นแลฯ

พระคาถาชินบัญชร

ในปัจจุบันการสวดพระคาถาชินบัญชร (การอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสถิตอยู่กับเรา) พุทธคุณ ๙ ประการ มีดังนี้เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปราศจากโรค ได้ลาภ ได้ยศ ค้าขายดี มีวิชา เจริญรุ่งเรือง

คาถาชินบัญชร โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต พรหมรังสี)


พระคาถานี้เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ตกทอดมาจากลังกา ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯค้นพบในคัมภีร์โบราณและได้ดัดแปลงแต่งเติมให้ดีขึ้น เป็นเอกลักษณ์พิเศษ ผู้ใดสวดภาวนาพระคาถานี้เป็นประจำสม่ำเสมอจะทำให้เกิดความสิริมงคลแก่ตนเอง ศัตรูไม่กล้ากล้ำกราย มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยตลอดจนคุณไสยต่างๆ เพื่อให้เกิดอานุภาพยิ่งขึ้น ก่อนเจริญภาวนาให้ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วระลึกถึงและตั้งคำอธิษฐานว่า

ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ

๑. ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.

๒. ตัณหัง กะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา.

๓. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.

๔. หะทะเย เม อนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะวามะเก.

๕. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.

๖. เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิ ปุงคะโล.

๗. กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร.

๘. ปุณโณ อังคุลิมาโลจะ อุปะลี นันทะสีวะลี
เถรา ปัญจะอิเมชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ.

๙. เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.

๑๐. ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง.

๑๑. ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
อากาเล ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา.

๑๒. ชินานานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะลังกะตา
วาตะปิตตาทิสัญชาตา พาหิรัชฌัตตุปัททะวา.

๑๓. อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.

๑๔. ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.

๑๕. อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิชินะปัญชะเรติ.

เคล็ดลับ "การสวดพระคาถาเงินล้าน"



บางครั้งเราจำเป็นต้องอาศัยเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากศรัทธาที่เรามีต่อพระพุทธศาสนา

ดังนั้นการเลือกจะสวดมนต์ใน "พระคาถาเงินล้าน" ก็เกิดขึ้นจากศรัทธาเช่นเดียวกัน
แต่เคล็ดลับในการสวด "พระคาถาเงินล้าน" นั้น
ผู้สวดจะต้องสวดด้วยจิตอันตั้งมั่น
ไร้ความอยากต่าง ๆ ความโลภ
ให้สวดด้วยความมีเมตตา , ความกรุณา, ความรัก
ให้มโนภาพเห็นแสงสว่างอันอ่อนนุ่ม
แผ่ความกรุณาให้ไพศาล
ให้เห็นกลีบดอกบัวสีขาวเป็นล้าน ๆ กลีบ
แผ่ความรักความกรุณาจากเหนือกลางกระหม่อมออกไป
ถึงบุคคลต่าง ๆ หรือมวลมนุษย์, สรรพสัตว์ ตลอดทั้งจักรวาล และ 3ภพ

นี่เป็นเคล็ดลับในการสวด "พระคาถาเงินล้าน"
เพราะจริง ๆ แล้วการสวดมนต์
เราไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน
ถึงแม้พระคาถานี้จะเด่นทางด้านโชคลาภ
แต่เราควรสวดมนต์ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ

คือให้นึกถึงเฉพาะบทสวดมนต์
พยายามอย่าให้จิตคิดถึงสิ่งอื่นใด หรือคิดในเรื่องต่าง ๆ
พยายามดึงจิตใจให้กลับมาสวดมนต์
ให้กลับมาอยู่ที่เดิม

ที่สำคัญสำหรับเรา
เราจะนึกถึงหน้าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อเงินไหลมา (วัดท่าซุง)
เพียงแต่เพิ่งรู้วันนี้แหล่ะว่า
"ห้ามโลภ คือเวลาสวด ให้ทำจิตใจให้ว่างที่สุด"

วันนี้เราจะลองทำใหม่
จะพยายามกำหนดให้จิตมีสติ
เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น

อุปสรรค


อุปสรรคที่เราต้องเจอในวันนี้
คือ กรรมเก่าที่เราเคยทำกับใครไว้ในชาติก่อน ๆ
ผลที่เราต้องมาเจออุปสรรคเหล่านี้
ทำให้เราท้อแท้ และถามตัวเองเสมอว่า
"ทำไมชีวิตของเราถึงเป็นแบบนี้ ในเมื่อวันนี้เราไม่ได้คิดร้าย หรือทำเรื่องไม่ดีต่อใครทั้งสิ้น แต่ทำไมชีวิตของเรายังต้องเจอกับเรื่องพวกนี้"
แต่เมื่อเราก้าวผ่านอุปสรรคนั้นมาได้
พอเราหันกลับไปมองดู เราจะรู้สึกว่า
อุปสรรคนั้นไม่ได้ใหญ่มากไปกว่าใจเราคิดเลย
เพราะเราสามารถผ่านมาได้
แต่อุปสรรคใหม่ที่กำลังรอเราอยู่ในข้างหน้า
"ทำไมมันถึงยากจัง"
นี่คือสิ่งที่เรากำลังเจอ และเรารู้สึกว่า
"เราต้องรวบรวมทุก ๆ ความอดทนที่เรามีเพื่อทำให้เราสามารถผ่านไปให้ได้"
"ถึงแม้จะยากเย็นแค่ไหน ถึงแม้เราจะต้องจมกับอุปสรรคนี้อีกนานแค่ไหน แต่มันจะต้องมีวันที่เราผ่านไปได้"
เพียงแต่ เราต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับอุปสรรคที่เรากำลังเจอ

ถึงแม้วันนี้เราจะสามารถผ่านอุปสรรคนี้ไปได้
แต่เราก็ยังมีอุปสรรคใหม่ รอเราอยู่แล้ว
เพราะถ้าเราได้ผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปได้
อุปสรรคที่เราจะต้องเจอ
มันต้องยากกว่านี้แน่นอน
เพียงแต่เป็นการเพิ่มระดับความยากขึ้น
และเมื่อวันที่เราสามารถชนะอุปสรรคทั้งหลายได้
เราก็สามารถยกระดับจิตใจของเราได้เช่นกัน

เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ
สำหรับการเป็นคนดี

ความดี


วันนี้เป็นวันที่เรามีความยินดีมาก ๆ เลยนะ
ปัญหาของเราที่ใหญ่กว่าปัญหาเก่ายังรอเราแก้ไขอีกเพียบ
แต่วันนี้เราภูมิใจและยินดีอย่างยิ่งที่อยากจะบอกให้หลาย ๆ คนได้รู้ว่าวันนี้
"เราทำความดี ด้วยใจบริสุทธิ์จริง ๆ"

เมื่อก่อนเราทำความดี แค่การกระทำ
แต่วันนี้ปัญหาที่เราต้องเจอหลาย ๆ ครั้ง
ค่อย ๆ บ่มเพาะจิตใจของเราให้เข้มแข็ง และแกร่งมากยิ่งขึ้น
ถึงเราจะท้อทุกครั้งที่เจอปัญหา
แต่เรายังไม่เคยละเว้นในการทำความดีเลยนะ

ถึงแม้บางครั้งเราจะไม่มีเงินไปทำบุญ หรือพาแม่ไปวัด
แต่เราสามารถทำความดีได้
แม้ว่าเราจะอยู่ที่บ้าน
เพราะเราสามารถดูแลพระในบ้านได้

โดยสิ่งที่เราทำนั้น
เราต้องบอกว่า มันทำให้เรารู้สึกดีมาก ๆ เลยนะ
มันอิ่มเอมใจ และมีความสุขมาก ๆ เลย

วันนี้เราไม่เสียใจแล้วนะ ที่แม่ไม่เหลือสมบัติอะไรให้เรา
เพียงแค่วันนี้ เรามีแม่ให้เราแสดงความกตัญญูกตเวที
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วแหล่ะ
เราไม่ต้องเดินทางไปหาพระอรหันต์ที่ไหนหรอกนะ
เพราะพระอรหันต์สำหรับลูกทุกคน
ก็คือ "แม่"

เรามีความสุขที่เราได้ตอบแทนพระคุณของแม่
แม่สอนให้เรารู้จักกับคำว่า "เสียสละ"
เราจะทำให้แม่มีความสุข
แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เราก็มีความสุข
และแม่ของเราก็มีความสุขด้วยเช่นกัน

เงินทองเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิต
แต่เงินทองไม่ใช่ทางออกของปัญหาในชีวิตได้หรอกนะ
และเงินทองไม่สามารถนำพาใครไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานได้

นี่คืออีกหนึ่งสัจธรรมที่เราค้นพบหลังจากที่เราได้ว่างเว้นจากการเขียนบล๊อกไป
เราอยากบอกต่อแค่นั้นเอง

สวดมนต์


"ลองสวดมนต์สิ"
นี่คือคำที่หลาย ๆ คนจะได้ยินจากเราบ่อยมาก ๆ
ใครที่ประสบปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ มาเจอกับเรานะ
เราก็จะบอกไปว่า "ให้ลองสวดมนต์ดูสิ"

นาทีที่เค้าประสบพบเจอกับปัญหาเนี่ย
เราก็รู้นะว่า "จิตเค้าตกแน่นอนแหล่ะ"
เพียงแต่ว่า เราจะทำยังไงให้เค้ามีสติ
เพราะเวลาคนเราจิตตก สติก็กระเจิงเหมือนกันนะ

ก็มักจะบอกหลาย ๆ คนให้ไปสวดมนต์ดู
อยากขายของดี "ให้สวดมนต์"
อยากให้มีคนรัก "ให้สวดมนต์"
อยากรวย "ให้สวดมนต์"
อยากมีลูกดี "ให้สวดมนต์"
อยากมีแฟนดี ๆ "ให้สวดมนต์"
ใครมีความอยากมีหลายประการ เราก็จะบอกเหมือนกันว่า "ให้สวดมนต์"

เพราะ "เราสวดมนต์นะ นี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่เรามี ถึงแม้เราจะมีปัญหามากมายเพียงใดตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงสิ้นปี เราก็จะพยายามสวดมนต์ แม้จะไม่ได้ทุกวัน แต่เราก็จะพยายามไปสวดมนต์ให้ได้ คือต้องพยายาม ถึงแม้จะท้อแท้ และล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่เราก็จะพยายามนะ พยายามทำให้ได้ เพราะเรากลัวไง เรากลัวว่า ถ้าวันไหน เราหยุดสวดมนต์ เรากลัวเวรกรรมจะตามมาทัน เรากลัวการไม่มีเงิน เรากลัวการไม่มีงาน แต่เวลาที่สวดมนต์ เราจะพยายามทำจิตใจสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง แต่ทุกครั้งเราจะคิดว่า ทำให้ดีที่สุด แค่นี้แหล่ะ "พอ""

เราก็จะยกข้อดีของการสวดมนต์
ไปบอกกับคนที่เจอปัญหานะว่า
ข้อที่ 2 ของ อิติปิโส ก็คือ สวากขาโต
ซึ่งท่อนนี้จะแปลว่า
พระธรรมเป็นสิ่งที่พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งผู้รู้ก็จะรู้ได้เฉพาะตน
อันนี้เราก็จะแปลเป็นภาษาที่ทำให้เค้าเข้าใจง่ายขึ้นว่า

พระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น
ที่จะสามารถมองเห็น หรือรับรู้ได้
ถ้าคุณไม่ลองดู แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง
ในเมื่อคุณอยากรู้
แต่ถ้าคุณไม่อ่าน
แล้วเมื่อไหร่คุณจะรู้


นี่เป็นสิ่งที่เราพยายามบอกกับหลาย ๆ คนให้เค้าทำ
แต่เราก็ไม่สามาถชักจูงคนได้ทั้งหมดหรอกนะ
เพราะบางครั้งสิ่งที่เราพูดก็มีคนอีกมากมายที่ไม่เชื่อ
เพราะตัวเราเองก็ผิดศีลข้อ 4 ซึ่งผลแห่งการผิดศีลข้อนี้ก็คือ
ทำให้ไม่มีคนเชื่อถือในคำพูดของเรา เหมือนเราพูดเพ้อเจ้อ

แต่เราก็พยายามนะ
เพราะเราแค่อยากให้เค้าได้ดี
และเราอยากให้เค้าได้รู้
ในสิ่งที่เรารู้เช่นเดียวกัน

แค่คิดดี และอยากให้คนอื่นได้ดี
มันก็คงเพียงพอแล้ว
สำหรับการชักชวนคนรอบข้างให้มาสวดมนต์
อย่างมีสติ